สกู๊ปพิเศษทงอี วันในคืนที่นางถวายตัว/ต่อพงษ์

กษัตริย์ยองโจ ลูกของทงอีกับพระเจ้าซุกจง
สกู๊ปพิเศษทงอี วันในคืนที่นางถวายตัว/ต่อพงษ์
สัปดาห์นี้หลายคนที่ตามดูละครเรื่องทงอีอาจจะรู้สึกเหมือนผมก็คือ เรื่องมันชักจะยืดยาดเอาเสียแล้ว เพราะผู้เขียนบทเขียนปริศนาอาการป่วยของนางรับใช้ในวังของทงอีจนกระทั่งต้องให้เธอมาค้นหาและแก้ปริศนานี้ออกมา แต่ถึงจะแก้แล้วจนสำเร็จ แต่เชื่อว่าเดี๋ยวก็ต้องหาปัญหาอะไรต่อมิอะไรมาให้นางเอกของเราสืบอีก เพราะคนเขียนบทเขาไม่ยอมเดินหน้าไปตามเรื่องให้ไวๆ

จริงๆ เรื่องของพระสนมชอยซุกบิน แห่งพระเจ้าซุกจงนั้นมีประวัติน้อยนะครับ คนที่มีประวัติมากมายจนกลายเป็นตำนานกลับเป็นพระสนมจางฮุยบินตัวร้ายของเรื่องเสียมากกว่า ซึ่งชื่อเสียงของจางฮุยบินนั้นออกมาในทำนองสวยลากไส้ซะเยอะ ประเภทเป็นคนสวยที่สุดในแผ่นดิน หรือมีตัวหอมฟุ้งแบบไซซีของจีน แต่ก็ร้ายกาจที่สุดเช่นเดียวกัน

แต่ประวัติที่ถูกบันทึกไว้นั้น “ชอยซุกบิน” หรือทงอีนั้นจริงๆเธอก็ไม่ได้มีกำเนิดที่ต่ำต้อยสุดๆเหมือนในละครนะครับ ตามประวัติของเธอ ทงอีเกิดเมื่อปี 1670 เธออยู่ในสายตระกูลชอยซึ่งอยู่ในจังหวัดนามยางและปกครองอยู่ในแถบนั้น

ต้องเท้าความตรงนี้ว่าระบบวรรณะของเกาหลีนั้นส่วนใหญ่จะเลือกสืบจากแม่ เพราะฉะนั้นถ้าแม่ไม่ได้เป็นทั้งชาวนาหรือพวกจัณฑาลหรือพวกชอนมินซึ่งอยู่ในวรรณะที่ต่ำสุด ลูกที่สืบสายเลือดมาก็จะไม่ได้อยู่ในวรรณะที่ต่ำขนาดในละครเช่นกัน เพราะ ผมดูจากในละครนั้นดูเหมือนเธอจะเป็นพวกชอนมินกันเลย
ภาพคืนถวายตัวในกระท่อมท่ามกลางพายุฝน
เพราะถ้าเธอเกิดมาต้อยต่ำขนาดนั้น รับประกันว่าไม่มีทางที่ทงอีจะได้เข้ามาเกิดใหม่อย่างนี้เลย

ขอเพิ่มรายละเอียดตรงนี้ไว้หน่อย เผื่อว่าใครที่เป็นคอละครเกาหลีจะเข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องทำให้บทบาทระหว่าง “แม่ยาย-ลูกสะใภ้” ต้องจี๊ดถึงขนาดนี้ คำตอบก็คือ ระบบชนชั้นวรรณะมันยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมของเขาและมันสะท้อนแถมตอกย้ำออกมาผ่านทางละครเกาหลีนั่นเอง

เรื่องราวแห่งการแบ่งวรรณะชนชั้นในอาณาจักรโชซอนซึ่งเป็นยุคของทงอีอยู่นั้น เอาเข้าจริงก็ต้องนับตั้งแต่ก่อนสมัยกษัตริย์เทโจซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1392-1398 โดยตั้งให้เมืองฮันยางหรือปัจจุบันก็คือกรุงโซล อีกทั้งตั้งชื่ออาณาจักรนี้ว่าโชซอน ซึ่งขอยกเอารูปแบบของสังคมและการปกครองมาจากราชวงศ์หมิงซึ่งเน้นขงจื้อมาทั้งกระบิ แต่ในรายละเอียดนั้นกลับแตกต่างกัน ซึ่งการแบ่งชนชั้นวรรณะในเกาหลีเขาแบ่งออกอย่างนี้ครับ

1.ยางบัน (Yangban) ซึ่งเป็นชนชั้นสูงสุด พวกนี้ก็จะมีตัวกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ขุนนางผู้ใหญ่ ผู้บัญชาการทหารใหญ่ๆ ซึ่งเป็นแขนซ้ายและแขนขวาในการบริหารประเทศของกษัตริย์ กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่ชี้เป็นชี้ตายให้แก่คนในประเทศได้เลย เพราะ เป็นทั้งเจ้าที่ดิน เป็นทั้งนายของทาสที่เกิดในตระกูล เรียกว่ากุมเศรษฐกิจของประเทศด้วยจำนวนที่ดินและคนที่ตัวเองมีในสังกัด พวกชนชั้นสูงสุดนี้สืบทอดฐานะของชนชั้นตัวเองตามสายเลือดที่กฏหมายรับรอง เช่นบุตรชายที่เกิดจากเมียหลวงที่จดทะเบียนไว้ พวกนี้จะได้เป็นยางบันแน่ๆ หรือถ้าเป็นลูกเมียน้อยที่มีการจัดพิธีแต่งงานและรับรองโดยทางการก็จะได้เป็นยางบันเช่นกัน ส่วนถ้าเป็นเมียลับๆหรือเมียเก็บ แม้จะมีเลือดพ่อเหมือนกันและเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็จะถูกดันลงไปให้เป็นชนชั้นกลางไป

โดยหลักของขงจื้อที่ราชวงศ์นี้ประกาศใช้ การที่ชนชั้นอื่นจะขึ้นมาเป็นระดับยางบันนั้นโดยหลักการสามารถทำโดยการสอบเข้ารับราชการรับใช้ราชสำนัก แต่เอาเข้าจริงก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะการศึกษาดีนั้นมักจะกระจุกตัวอยู่แค่ลูกหลานของพวกยางบัน ตามมาด้วยผู้คุมสอบ ผู้ออกข้อสอบซึ่งสามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้ที่ใช่และไม่ใช่พวกยางบันทั้งสิ้น

2.ชนชั้นกลางหรือ ชุงอิน (Chungin) พวกนี้เกิดมาก็เป็นลูกเมียน้อยหรือเป็นทาสในเรือนเบี้ยเสียประมาณ 1 ใน 4 เพราะมีหน้าที่ต้องรับใช้พวกยางบัน โดยสงวนวิชาชีพเอาไว้ให้นั่นคือ เป็นผู้ใช้แรงงานระดับสูงหรือทำงานที่พวกยางบันไม่ยอมทำ อาทิเช่นงานช่างต่างๆ หรือเป็นช่างเฉพาะทาง เช่น ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างไม้ ช่างเหล็ก หรือถ้าได้เป็นข้าราชการก็จะคุมได้แค่กองที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางในงานฝีมือเท่านั้น

3.สามัญชนหรือซังมิน (Sangmin) คนพวกนี้ก็คือ คนทั่วๆไปที่ประกอบอาชีพในสังคมซึ่งรวมถึงชาวนาเข้าไปด้วย ทำให้เป็นคนที่มีจำนวนมากที่สุด จะว่าไปพวกนี้ก็เป็นทาสไปเสียครึ่งตัว เพราะเมื่อตั้งราชวงศ์ใหม่นั้นมีการจัดสรรที่ดินใหม่ แต่เอาเข้าจริงผ่านไปไม่กี่ปีที่ดินเหล่านั้นก็เป็นทุกขลาภไป เพราะจะโดนทางการเก็บภาษีเสียอ่วม ไล่มาตั้งแต่ภาษีที่ดิน ภาษีของผลผลิตที่ผลิตได้ให้ราชสำนักด้วยเป็นเหมือนค่าเช่าซึ่งส่วนนี้จะถูกประเมินโดยเจ้าหน้าที่ นั่นทำให้ชาวนาจะต้องจ่ายใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่ประเมินของราชการ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นประเมินผลผลิตเกินจริง สภาพที่เป็นอยู่นี้สุดท้ายสามัญชนก็ต้องไปยืมเงินจากพวกยางบันมาเพื่อจ่ายภาษีต่างๆให้แก่ราชสำนัก และในที่สุดที่ดินที่ทางราชการจัดสรรมาก็ตกเป็นของยางบันไปเพราะไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยต้องยกที่ดินที่ได้มาจ่ายแทนไป หนักที่สุดก็คือสามัญชนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นทาสในที่ดินของตนเองไปเสียเลย

4. ชนชั้นต่ำ หรือ ชอนมิน (Chonmin) จะว่าไปมันก็คือทาสแต่กำเนิดหรือทาสเต็มตัวนั่นเองครับ คำว่าชนชั้นต่ำนี้มีความหมายถึงคนที่มีกำเนิดที่ต่ำที่สุด หรือ มีบรรพบุรุษเป็นพวกชั้นต่ำ พวกนี้ก็จะกลายเป็นชนชั้นต่ำโดยสายเลือด หรือถ้ามีแม่เป็นทาส ลูกก็จะเป็นคนชั้นต่ำ หรือเด็กที่พ่อแม่แอบได้เสียกันลับๆลูกเกิดมาก็จะเป็นทาสอีกเหมือนกัน สถานภาพและความเป็นอยู่ของทาสนั้น

ตรงนี้ไงครับที่ผมบอกว่า ตัวละครที่ชื่อทงอีนั้นจะว่าไปก็ควรจะบอกได้ว่าโม้เสียครึ่งหนึ่ง เพราะในฐานะที่เกิดมาเป็นชนชั้นต่ำสุดนั้น เธอแทบจะไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่เธอเป็นในเรื่องได้เลย เพราะกำแพงแห่งวรรณะที่มีนั้นมันทั้งสูงทั้งแกร่งจนไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะฉนั้นเรื่องของสนมชอยซุกบินหรือทงอีนั้นในประวัติศาสตร์จริงๆจึงไม่ได้เกิดในชนชั้นดังกล่าวตามที่ละครเขาบอก แต่ที่เป็นแบบนั้นก็ให้เกิดความเป็นดราม่าให้คนดูได้จี๊ดและลุ้นกัน

แต่เค้าแห่งความจริงในละครก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย เพราะตอนที่น้องทงอีไล่หนีจากการไล่ฆ่าของจางฮีเจพี่ชายของสนมจางเมื่อเดือนที่แล้วนั้น เธอแอบกลับเข้าวังมาใหม่ในคราบของเด็กขนน้ำในวัง ตรงนี้เข้าเค้ากับประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้ว่า เดิมนั้นทงอีเธอเป็นเด็กรับใช้หรือจะเรียกนางในก็ได้ แต่อยู่ในสังกัดของพระมเหสีอินฮยอน แถมน่าจะเป็นนางในที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับพระมเหสีเอาเสียด้วย แต่ในช่วงเวลาที่พระมเหสีโดนปลดให้กลายเป็นสามัญชนนั้น ทงอีอาจจะโดนหางเลขจนต้องกลายมาเป็นเด็กขนน้ำจากบ่อไปเติมให้ฝ่ายใน

อันนี้เป็นสิ่งที่เขาบันทึกนะครับ เขาว่า

“คืนหนึ่งที่พระเจ้าซุกจงแอบแต่งตัวเป็นประชาชนทั่วไปเพื่อออกไปเที่ยวนอกวังตามที่พระองค์ทำมาตั้งแต่หนุ่ม ขากลับจากเที่ยว พระองค์กลับเข้ามาเงียบๆ จู่ๆก็ได้ยินเสียงสวดภาวนาต่อพระจันทร์เพื่อให้พระมเหสีอินฮยอนที่ถูกปลดไป สำเนียงแห่งความจริงใจ และความน่าสงสารนั่นเอง ทำให้พระเจ้าซุกจงรู้สึกประทับใจ หรือไม่พระองค์ก็อาจจะรู้สึกผิดกับการตัดสินใจปลดมเหสีเพื่อเหตุผลทางการเมืองของท่าน สุดท้ายพระองค์ก็เลยให้ขันทีประจำพระองค์เรียกเด็กยกน้ำคนนี้เข้าไปรับใช้ในห้องเสียเลย เหตุนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1693 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ที่กษัตริย์ซุกจงครองราชย์”

ในละครนั้นการถวายตัวของทงอีนั้นมีบรรยากาศคล้ายๆเรื่องโป๊คลาสสิกสมัยก่อนมากกว่า ที่ทั้งคู่อยู่ในกระท่อมที่ฝนตกหนัก...แถมทั้งคู่ก็กรึ่มเหล้าไปพอควร แต่เขาก็ทำออกมาน่ารักดีครับ โดยเฉพาะขณะที่ในห้องกำลังร้อนด้วยไฟรักแต่ข้างนอกทหารกำลังตากฝนกันเปียกแฉะทีเดียว...นี่ถ้าให้ท่านพี่ของทงอีที่แอบชอบเธอมาตั้งแต่เด็กมายืนเฝ้าด้วยไม่รู้ว่ามันชวนจี๊ดขนาดไหน

หลังผ่านการถวายตัวเสร็จ ทงอีตัวจริงในประวัติศาสตร์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนางในถวายตัวในระดับ ซุก-วอน และได้เลื่อนขั้นเป็น “ซุก – อุย” ซึ่งก็คือเป็นพระสนมลำดับที่ 2 ของกษัตริย์ในหนึ่งปีถัดมา เนื่องจากนางได้ให้กำเนิดองค์ชายแก่ซุกจง องค์ชายที่ว่าชื่อเยียวนิง ซึ่งในท้ายที่สุดก็ได้เป็น “กษัตริย์ยองโจ” ของโชซอนในที่สุด

ตามประวัติศาสตร์นั้น ในปี ค.ศ. 1694 นี่เองที่พระมเหสีจางแกโดนลดชั้นลงมาเหลือแค่เป็นสนมจางฮุยบินเหมือนเดิม และพระมเหสีอินฮยอนก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งเหมือนเดิม ใครที่ลุ้นละครเรื่องนี้ก็คงต้องลุ้นให้ทงอีเธอท้องเร็วๆ พระมเหสีจะได้กลับมา “แท็กทีม” ปราบนางคนชั่วจางฮุยบินเสียที
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



ไม่มีความคิดเห็น: